วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

แอร์เคลื่อนที่ดีไหม เย็นไหม รวมลักษณะข้อดี-ข้อเสีย ของแอร์เคลื่อนที่


ในอากาศร้อนๆแบบนี้ แอร์คือสิ่งจำเป็นอันดับต้น ๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะจะหวังพึ่งพัดลมเพียงอย่างเดียว ก็คงจะเอาไม่อยู่ แอร์เคลื่อนที่ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยู่หอพัก/อยู่ห้องเช่า ซึ่งไม่สามารถติดตั้งแอร์แบบติดผนังได้ จึงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับแอร์เคลื่อนที่ … แอร์เคลื่อนที่ดีไหม, แอร์เคลื่อนที่ราคาเท่าไหร่, กินไฟไหม และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมาะกับการใช้งานของเราจริงๆหรือไม่ วันนี้เชียงใหม่แอร์แคร์เรามีข้อเท็จจริงมาบอกต่อกันจ้า 

แอร์เคลื่อนที่คืออะไร 
แอร์เคลื่อนที่ หรือ Movable Type เป็นเครื่องปรับอากาศชนิดหนึ่ง ที่มีจุดหมายเพื่อใช้งานได้แบบเดียวกันกับแอร์บ้านทั่วไป แต่จะพิเศษกว่าตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และไม่ต้องติดตั้งเข้ากับตัวบ้าน เพียงแค่เสียบปลั๊กก็ใช้ได้เลย 


แอร์เคลื่อนที่ดีไหม แอร์เคลื่อนที่มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานต่างกับแอร์บ้าน ดังนั้นจึงมีขนาด BTU ที่ค่อนข้างจะต่ำกว่า เนื่องจากไม่มีคอนเพรสเซอร์แยกด้านนอกเพื่อระบายความร้อน รวมไปถึงเป็นเครื่องขนาดเล็ก ต้องทำให้น้ำหนักเบา เพื่อง่ายต่อการย้าย ดังนั้นจึงถูกตัดฟังก์ชั่นต่างๆออกไปมาพอสมควร โดยการพิจารณาว่าดีไหมนั้น ควรพิจารณาจากลักษณะของแอร์เคลื่อนที่ ว่าเหมาะกับ Life Style ของผู้ซื้อหรือไม่ 



ลักษณะของแอร์เคลื่อนที่ 

มีคอมเพรสเซอร์ ท่อลมร้อน และระบบกรองอากาศในตัว : ดังนั้นในบางรุ่นจึงต้องการการต่อท่อ (ลากท่อ) เพื่อระบายน้ำทิ้ง เป็นน้ำที่เกิดจากไอน้ำเมื่อทำความเย็น 

ใช้งานโดยการเสียบปลั๊กไฟ : อาจต้องหาท่อต่อออกภายนอกห้อง เพื่อระบายความร้อนที่เกิดจากการทำงาน 

มีขนาดเล็กเคลื่อนย้ายได้ : เหมาะสำหรับห้องการย้ายห้อง การเปลี่ยนมุมในการทำความเย็น 

อายุการใช้งานค่อนข้างยาวนาน : หากเปิดตลอดเวลา ก็ไม่ได้ทำให้เสียง่ายแต่อย่างใด อายุการใช้งานเฉลี่ย 3 – 5 ปี 

มี BTU ให้เลือก และมี BTU ขนาดใหญ่แบบแอร์บ้านด้วย : แต่ BTU สูงสุดในประเทศไทยจะไม่เกิน 12000 BTU ซึ่งเหมาะกับห้องที่ไม่ใหญ่มากนัก 

ตั้งเวลาเปิด-ปิดได้ มีจอแสดงผลแบบดิจิตอล ปรับอุณหภูมิได้ มีฟังก์ชั่นการทำงานคล้ายแอร์ติดผนังทั่วไป 

ข้อดีของแอร์เคลื่อนที่ 
แอร์เคลื่อนที่มีข้อได้เปรียบกว่าแอร์แบบติดผนังทั่วไป ในเรื่องของความง่ายในการติดตั้ง และโยกย้าย 

1.) การติดตั้งแค่วางกับพื้น ไม่ต้องเจาะกำแพงเพื่อติดตั้งให้ยุ่งยาก 
2.) สามารถเสียบปลั๊กแล้วใช้งานได้เลย (อาจต้องหาตำแหน่งวางท่อลมระบายความร้อน และท่อน้ำทิ้งไว้ด้วย) 
3.)สามารถเคลื่อนย้ายได้ น้ำหนักเบา ขนส่งสะดวก 
4.) ดูแลรักษาง่าย เพราะมีขนาดเล็ก สกปรกยาก 

ข้อเสียของแอร์เคลื่อนที่ 
แอร์เคลื่อนที่ก็มีข้อเสียในเรื่องของประสิทธิภาพ แต่หากเราใช้อย่างถูกจุดหมาย ก็อาจไม่ต้องคำนึงถึงข้อเสียเหล่านี้ 

1.) แอร์เคลื่อนที่ จัดเป็นแอร์ขนาดเล็ก จึงไม่เหมาะจะเปิดในห้องกว้าง ๆ เพราะจะทำได้แค่เย็นเฉพาะที่ลมแอร์เป่า และทำให้แอร์ทำงานหนัก 
2.) มีขนาด BTU ที่ต่ำกว่าแอร์บ้าน (วางขายประมาณ 6000 – 12000 BTU) จึงทำความเย็นได้น้อยกว่าแอร์บ้าน 
3.) อัตราการกินไฟเกือบเทียบเท่าแอร์บ้านในขนาด BTU เท่าๆกัน 
4.) จำเป็นต้องยื่นท่อลมร้อนเป่าออกนอกห้อง เพื่อระบายความร้อน 

แอร์เคลื่อนที่เหมาะกับการใช้งานของเราหรือไม่ ?  
แอร์เคลื่อนที่เหมาะกับผู้ที่อยู่หอพัก อพาร์ทเม้นต์ คอนโดมิเนียม ที่อยากจะนอนสบายๆ แต่ไม่สามารถติดตั้งแอร์ได้เอง รวมไปถึงไม่สามารถจะเจาะกำแพงเพื่อติดตั้งแอร์ได้โดยเมื่อย้ายที่อยู่ ก็สามารถนำแอร์เคลื่อนที่ย้ายไปยังที่อยู่ใหม่ได้อีก นอกจากนั้นยังเหมาะกับเต๊นท์ VIP ที่ต้องการความเย็นภายใน เพื่อให้อยู่อยู่อาศัยได้พักผ่อน เช่นการออกงานในสถานที่กลางแจ้งเป็นต้น 

ในส่วนของราคาแอร์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน 
นับว่ามีราคาไม่แพง และมีคุณภาพที่น่าพอใจ โดยมีการพัฒนาขนาด BTU ให้มากขึ้นตามความร้อนของประเทศไทยที่สูงขึ้นมากถึง 9,000-15000 BTU โดยเฉลี่ยราคาแอร์เคลื่อนที่จะอยู่ที่ประมาณ 9,000-15,000 บาท 

การดูแลรักษา ถ้าจะมองโดยรวมแล้ว นับว่าดูแลรักษาง่ายกว่าแอร์บ้านทั่วไป เพราะจะมีเพียงที่กรองอากาศ และช่องใส่น้ำทิ้ง ที่ต้องนำออกมาทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเชื้อโรคสะสมได้ และห้ามต่อเติมท่อลมร้อนของแอร์เคลื่อนที่ให้ยาวขึ้น เพราะความยาวที่ไม่พอดีจะทำให้พัดลมไม่มีแรงดันมากพอที่จะระบายความร้อนได้ 

สรุป : แอร์เคลื่อนที่เป็นตัวเลือกรองลงมาจากแอร์ติดผนัง โดยชูจุดเด่นคือการไม่ต้องติดตั้ง แต่ยังเปิดแอร์ได้อยู่แบบเย็นๆ ซึ่งแตกต่างจากแอร์มุ้ง ที่ทำความเย็นได้เฉพาะในมุ้งเท่านั้น ดังนั้นหากอยู่หอพักและต้องการจะเลือกซื้อแอร์เคลื่อนที่ ก็อย่าลืมคำนวนค่าไฟต่อเดือนด้วย เพราะการกินไฟฟ้าของแอร์เคลื่อนที่นั้น เทียบเท่ากับการใช้งานแอร์ติดผนังเลยทีเดียว


วิธีการเลือกซื้อตู้เย็นอย่างชาญฉลาด แบบไหนเหมาะกับเราที่สุด



วิธีพิจารณาและเลือกซื้อตู้เย็นอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ได้คุณสมบัติตาม ขนาด ราคา รูปแบบ และการประหยัดไฟ ที่ทำให้คุณใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและบอกลาการค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปซะ

          เมื่อคิดจะซื้อตู้เย็นสักเครื่อง คำถามแรกของใครหลายคนก็คงจะไม่พ้นคำถามที่ว่า “ยี่ห้อไหนดี” ใช่ไหมล่ะคะ แต่ถ้าจะให้ดีจริง ๆ ควรพิจารณากันที่หลักการทำงาน ขนาด ราคา รูปแบบ 1 ประตู 2 ประตู หรืออื่น ๆ และการกินไฟมากกว่า เพราะข้อจำกัดเหล่านี้คือ วิธีการที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกตู้เย็นที่ตอบโจทย์ตู้เย็นกับความต้องการ และความเหมาะสมในการใช้งานของคุณได้มากที่สุด วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำวิธีเลือกตู้เย็นมาฝากกันค่ะ เพื่อให้คนที่กำลังจะซื้อตู้เย็นได้นำไปพิจารณาเลือกเครื่องที่เหมาะสมที่สุด



1. เลือกที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

          เหนือสิ่งอื่นใดในการเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้า จะต้องคำนึงถึงการประหยัดไฟเป็นลำดับแรก ดังนั้นเราควรเลือกซื้อตู้เย็นที่มีสติ๊กเกอร์ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 กำกับ เพราะจะช่วยให้ประหยัดไฟได้มากกว่า แต่ถ้าเป็นตู้เย็นที่มีตัวเลขต่ำกว่า 5 ลงไปก็จะยิ่งกินไฟเยอะและมีคุณภาพที่ด้อยลงไป เช่น เบอร์ 1 คือระดับต่ำสุด เบอร์ 2 คือระดับพอใช้ เบอร์ 3 คือระดับปานกลาง เบอร์ 4 คือระดับดี และเบอร์ 5 คือระดับดีมาก  ถ้าเปรียบเทียบเบอร์ฉลากกับค่าไฟที่ต้องเสียรายปีได้ ดังนี้

          - ตู้เย็นฉลากเบอร์ 3 : กินไฟ 332 หน่วย/ปี ต้องเสียค่าไฟประมาณ 840 บาท/ปี

          - ตู้เย็นฉลากเบอร์ 4 : กินไฟ 262 หน่วย/ปี ต้องเสียค่าไฟประมาณ 644 บาท/ปี

          - ตู้เย็นฉลากเบอร์ 5 : กินไฟ 220 หน่วย/ปี ต้องเสียค่าไฟประมาณ 573 บาท/ปี

2. สังเกตจากรายละเอียดข้อมูล

          ถึงแม้ข้อสังเกตนี้จะเป็นมาตรฐานทั่ว ๆ ไปที่ใช้ในการพิจารณากัน แต่ก็พลาดไม่ได้เลยนะคะ นั่นก็คือ ตู้เย็นจะต้องมีตราชื่อผู้ผลิตและเครื่องหมายการค้าที่ชัดเจน มีฉลากระบุรายละเอียดของประเภท รหัสรุ่น ปริมาตรภายใน และวงจรไฟฟ้าที่ครบถ้วน รวมไปถึงคู่มือแนะนำตู้เย็น อย่างเช่น รายละเอียดของตู้เย็น วิธีการใช้ วิธีการติดตั้ง อุปกรณ์ควบคุม การทำความสะอาด และการบำรุงรักษาไว้ด้วย

          ***ข้อมูลเพิ่มเติม : ถ้าจะให้ดีควรเลือกตู้เย็นที่มีฉนวนกันความร้อนหนาชนิดโฟมอัด ช่วยกักเก็บความเย็นได้ดี และเลือกตู้เย็นที่ใช้ระบบไฟฟ้า 220-330 โวลต์ เพราะเป็นระบบไฟฟ้าที่เหมาะสมกับบ้านเรา

3. ขนาดความจุที่เหมาะสมกับการใช้งาน

          ขนาดความจุของตู้เย็นคือ จุดหลักที่ต้องคำนึงก่อนเลือกซื้อ หน่วยวัดขนาดของตู้เย็นเรียกว่า “ลูกบากศ์ฟุต” หรือ “คิว” ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ 1 คิวก็จะมีขนาดความจุเท่ากับถุงช้อปปิ้งตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ดังนั้นหากจะวัดคร่าว ๆ จากปริมาณของที่ซื้อเข้าตู้เย็นกับขนาดคิวตู้เย็นที่ต้องการก็ได้ จะวัดจากพฤติกรรมที่ชอบซื้อของแช่แข็งมากกว่าของสดทั่วไป ก็ควรเลือกตู้เย็นที่มีช่องแช่แข็งกว้างเป็นพิเศษ หรือจะคิดค่าเฉลี่ยของจำนวนสมาชิกในบ้านกับขนาดคิวตู้เย็น อย่างเช่น

          - สมาชิกมี 2 คน : ปริมาณคิวที่เหมาะสมอย่างต่ำสุดคือ 2.5 คิวขึ้นไป

          - ครอบครัวขนาดกลางสมาชิก 3-4 คน : ปริมาณคิวที่เหมาะสมคือ 12-18 คิว

          - ครอบครัวขนาดใหญ่สมาชิก 5 คนขึ้นไป : ปริมาณคิวที่เหมาะสมคือ 15 คิวขึ้นไป


4. ประเภทของตู้เย็นและราคา

          สมัยนี้ประเภทของตู้เย็นมีให้เลือกมากมายกว่าแต่ก่อน ซึ่งต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของแต่ละบ้าน ดังนี้

          - ตู้เย็นเล็ก : เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่น้อย อย่างเช่น หอพัก ห้องนั่งเล่น และห้องชั้นใต้ดินเป็นต้น ราคาประมาณ 4,000-6,000 บาท

          - ตู้เย็น 1 ประตู : ขนาดความจุไม่มาก ด้านในมีช่องแช่แข็งและช่องแช่ธรรมดาในตัว เหมาะกับบ้านทั่วไปที่มีพื้นที่กำจัด ราคาประมาณ 5,000-7,000 บาทขึ้นไป

          - ตู้เย็น 2 ประตู (ช่องแช่แข็งด้าน/ด้านล่าง) : เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่น้อย ราคาประมาณ 9,000-30,000 บาทขึ้นไป

          - ตู้เย็น 2 ประตู (แบบซ้าย-ขวา) : มีขนาดความจุทั้งเท่ากันทั้ง 2 ด้าน เป็นช่องแช่เย็นแบบแนวตั้ง บางรุ่นมีช่องกดน้ำด้านนอก เหมาะกับห้องครัวที่มีพื้นที่กำจัด ราคาประมาณ 40,000-100,000 บาทขึ้นไป

          - ตู้เย็นหลายประตู : ส่วนบนจะมีประตูทั้งด้านซ้ายและขวา และส่วนล่างจะเป็นลิ้นชักช่องผักและช่องแช่แข็ง ช่วยแยกการแช่ให้เป็นสัดส่วน ทำให้อาหารสดได้ยาวนาน และหยิบใช้งานง่าย ราคาประมาณ 50,000-160,000 บาทขึ้นไป

          - ตู้เย็นประตูซ้อนประตู (door-in-door) : นวัตกรรมใหม่ที่มาพร้อมประตู 4 บาน และอีก 2 บานที่ซ้อนไว้ด้านบน เพื่อกักเก็บความเย็นและช่วยประหยัดพลังงานในการเปิดตู้เย็นหยิบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ราคาประมาณ 149,000 บาทขึ้นไป

5. พิจารณาจากคุณสมบัติพื้นฐาน

          คุณสมบัติพื้นฐานที่ว่านี้คือ ดีไซน์ภายในตู้เย็นที่ต้องเลือกให้เหมาะสม ดูทันสมัย และจัดวางสิ่งของง่าย พิจารณาได้จากส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้

          - ชั้นวาง : จะต้องถอด-เข้าออกได้ เพื่อให้ง่ายต่อการปรับขนาดช่องแช่และทำความสะอาด

          - ลิ้นชักช่องแช่ : จะต้องมีช่องแยกภายใน เพื่อปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับอาหารที่แช่

          - ช่องผักและผลไม้ : จะต้องควบคุมความเย็นและชื้นอย่างเหมาะสม ให้ผักและผลไม้สดได้นาน

          - ชั้นวางข้างประตู : จะต้องมีขนาดกว้างพอสมควร สามารถแช่ขวดนมและขวดน้ำต่าง ๆ ได้ดี

6. ฟีเจอร์เสริม

          ฟีเจอร์เสริม คือ คุณสมบัติเพิ่มเติมในการใช้งานที่ตู้เย็นแต่ละตู้มีไม่เหมือนกัน ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อว่าต้องการใช้งานคุณสมบัติเหล่านั้นหรือไม่

          - ระบบทำความเย็นแบบคู่ (Dual-cooling system) : ช่องแช่แข็งจะกระจายลมเย็นแยกจากช่องแช่เย็นธรรมดา เพื่ออุณหภูมิช่องแช่แข็งให้มีประสิทธิภาพ

          - ระบบกรองอากาศ (Air filtration) : จะมีช่องกรองอากาศแบบคาร์บอนในตัว ช่วยลดกลิ่นอับภายในตู้เย็น

          - แผงควบคุมการทำงาน (Programmable control pad) : เป็นแผงปุ่มตั้งค่าอุณหภูมิ ล็อกความเย็น เช็กตัวกรอง และระดับน้ำต่าง ๆ ในเครื่อง

          - ระบบประหยัดพลังงาน (Energy-saving models) : นวัตกรรมอัจฉริยะที่ช่วยให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่กินไฟ งดใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น และช่วยลดค่าไฟในแต่ละเดือน

          เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับวิธีการเลือกซื้อตู้เย็นอย่างชาญฉาลดที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าคนที่กำลังมองหาและคิดที่จะซื้อตู้เย็นดี ๆ มาใช้สักเครื่อง จะนำวิธีการเหล่านี้ไปลองพิจารณากันดู เพื่อให้ได้ตู้เย็นที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุดยังไงล่ะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก urnurseKuCentralLazadaLgHomeproLowes และ Csmonitor


ทีวีเสีย! อีกแล้วหรอ? รวม 5 พฤติกรรมที่ทำให้ทีวีอายุสั้น


ปกติทีวีจะมีอายุการใช้งานประมาณ 50,000 – 100,000 ชม. แต่ทีวีบางเครื่องก็มีอายุสั้นกว่านั้น สาเหตุหนึ่งก็คือวิธีการดูแลรักษาที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง มาดูกันว่าพฤติกรรมอะไรบ้างที่ทำให้ทีวีเสียเร็ว รู้แล้วอย่าเผลอทำล่ะ! ทีวีเสีย


ทีวีเสีย! รวม 5 อันดับพฤติกรรมที่ทำให้ทีวีอายุสั้น

  • เปิดทิ้งไว้ไม่มีคนดู

กรณีนี้จะเรียกว่าเสียเร็วก็ไม่เชิง เพราะตัวเครื่องก็ถือว่ามันได้ทำงานตามอายุขัยของมันแล้ว เพียงแต่ชั่วโมงที่เสียไปได้ประโยชน์กลับมาไม่คุ้มกัน ถ้าไม่มีคนดูก็อย่าลืมปิดให้ทีวีได้พักบ้างนะครับ เก็บอายุขัยของมันไว้ใช้อย่างคุ้มค่าดีกว่า
  • ตั้งค่า Brightness มากเกินไป

ยิ่งเซ็ทหน้าจอให้สว่าง ก็ยิ่งใช้พลังงานมาก ดังนั้นการตั้งค่าให้จอสว่างเกินควรจึงทำให้เครื่องทำงานหนักกว่าปกติโดยไม่จำเป็น และทำให้อายุขัยของมันสั้นลงเร็วขึ้นด้วย
  • ตั้งค่า Contrast มากเกินไป

กรณีเดียวกันกับค่า Brightness ค่า Contrast ที่สูงก็ทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้นและเสื่อมเร็วเช่นกัน ควรปรับสีให้สดแต่พอดีดีกว่าครับ จะได้ใช้ได้นาน ๆ
  • เสียบปลั๊ก/ดึงปลั๊กโดยไม่ปิดเครื่อง

ข้อนี้เรียกได้ว่ายอดนิยมเลยทีเดียว การที่เราเสียบปลั๊กหรือดึงปลั๊กออกโดยไม่ปิดสวิตช์ที่เครื่องก่อน ทำให้เกิดอาการกระแสไฟฟ้ากระชาก (สังเกตได้จากประกายไฟที่แลบแปล๊บตอนเสียบปลั๊ก) เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้สายไฟในเครื่องช็อต ถ้าวันไหนโชคร้ายอาจพังในพริบตาเลยก็ได้
  • ปล่อยให้เครื่องร้อน

ทีวีก็เหมือนคอมพิวเตอร์ ที่ต้องมีการระบายความร้อนออกจากเครื่องอย่างเหมาะสม ดังนั้นการตั้งทีวีในที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท หรือตั้งชิดผนังเกินไป จะทำให้ระบบถ่ายเทความร้อนทำงานได้ไม่เต็มที่และเสื่อมเร็ว ทางที่ดีควรตั้งทีวีให้ด้านหลังอยู่ห่างจากผนัง 4 นิ้วขึ้นไป

พฤติกรรมเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ทีวีเสียเร็ว ยังทำให้เปลืองพลังงานโดยใช่เหตุอีกด้วย ฉะนั้นไม่ว่าจะทีวีหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทไหน ๆ ก็อย่าลืมถนอมดูแลให้เหมาะสม และตั้งค่าให้สมเหตุสมผลกับการใช้งานจริงด้วยนะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงดีๆ จาก http://www.thepower.co.th คร้า